สำนักงานประกันสังคม ปรับเพิ่มอัตราเงินทดแทนกรณีว่างงานให้แก่ผู้ประกันตน ม.33 ที่ถูกเลิกจ้าง จาก 50% เป็น 60% ของค่าจ้างรายวัน โดยให้ได้รับครั้งละไม่เกิน 180 วัน
อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
- วิธีลงทะเบียนว่างงานออนไลน์ง่าย ๆ เพียงไม่กี่คลิก
- รวมสิทธิประกันสังคมทั้งหมดที่คุณต้องรู้ ม.33 ม.39 ม.40
- ความสำคัญและวิธีการส่งเงินสมทบประกันสังคม
- นายจ้าง ลูกจ้างและ HR ต้องรู้! ลดเงินสมทบประกันสังคม 2565
ประกันสังคมอัปเดตใหม่! เพิ่มเงินทดแทนว่างงานสูงสุด 60% มีผลบังคับใช้แล้ว
สำนักงานประกันสังคมได้ประกาศปรับเพิ่มอัตราเงินทดแทนกรณีว่างงานสำหรับผู้ประกันตนตามมาตรา 33 มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับแรงงานที่ตกงานหรือถูกเลิกจ้าง โดยการปรับเพิ่มครั้งนี้ถือเป็นการปรับขึ้นที่สำคัญและให้ความช่วยเหลือในเชิงรูปธรรมมากขึ้นกว่าเดิม
ประกันสังคม เพิ่มอัตราเงินทดแทนว่างงานเท่าไหร่บ้าง?
อัตราเงินทดแทนว่างงาน แบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ กรณีถูกเลิกจ้าง และกรณีลาออกเองหรือหมดสัญญาจ้าง โดยแต่ละกรณีจะมีอัตราเงินทดแทนต่างกัน ดังนี้
1. เงินทดแทนว่างงานกรณีถูกเลิกจ้าง
ผู้ประกันตนที่ถูกเลิกจ้างจะได้รับเงินทดแทนจากเดิม 50% เป็น 60% ของค่าจ้างเฉลี่ยรายวัน
- รับเงินไม่เกิน 180 วัน (ประมาณ 6 เดือน) ต่อปี
- รับได้สูงสุดไม่เกิน 9,000 บาทต่อเดือน
- คิดรวมแล้วสามารถรับได้สูงสุดถึง 54,000 บาทต่อปี
2. เงินทดแทนว่างงานกรณีลาออกเอง หรือหมดสัญญาจ้าง
หากผู้ประกันตนลาออกเอง หรือสิ้นสุดสัญญาจ้าง จะได้รับเงินทดแทนในอัตรา 30% ของค่าจ้างเฉลี่ยรายวัน
- รับได้ไม่เกิน 90 วัน ต่อปี
- อัตราจ่ายยังคงเดิมจากประกาศก่อนหน้า
เงื่อนไขการขอรับสิทธิประโยชน์
เพื่อให้สามารถขอรับเงินทดแทนว่างงานได้ ผู้ประกันตนจะต้องมีคุณสมบัติดังนี้:
- จ่ายเงินสมทบประกันสังคมมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนการว่างงาน
- ต้องว่างงานไม่น้อยกว่า 8 วัน
- ต้องลงทะเบียนผู้ว่างงาน ผ่านเว็บไซต์ของกรมการจัดหางาน e-service.doe.go.th ภายใน 30 วัน หลังจากสิ้นสุดการจ้างงาน
- ต้องรายงานตัวผ่านระบบออนไลน์อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง
- ต้องไม่ถูกเลิกจ้างเพราะกระทำผิดวินัยร้ายแรง
- ต้องพร้อมทำงานและไม่ปฏิเสธการฝึกอาชีพที่จัดให้
สรุปอัปเดตอัตราประกันสังคมว่างงาน เงินทดแทนเพิ่มขึ้นเท่าไหร่บ้าง
การเพิ่มอัตราเงินทดแทนว่างงานครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งมาตรการที่ภาครัฐต้องการใช้เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประกันตนในภาวะเศรษฐกิจไม่แน่นอน การให้เงินชดเชยในอัตราที่สูงขึ้นจะช่วยให้แรงงานมีโอกาสฟื้นตัวเร็วขึ้น และพร้อมกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานอย่างมีประสิทธิภาพ