เจาะลึกความแตกต่างของประกันสังคมมาตรา 33, 39 และ 40 ใครควรสมัครแบบไหน และสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับแตกต่างกันอย่างไรบ้าง มาหาคำตอบได้จากบทความนี้
อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
- SSO Plus เช็กสิทธิ์ ตรวจสอบข้อมูลประกันสังคม ครบในแอปเดียว
- วิธียื่นประกันสังคมออนไลน์ง่ายๆนายจ้างทำเองได้ไม่กี่ขั้นตอน
- 4 ช่องทางเปลี่ยนโรงพยาบาลย้ายสิทธิประกันสังคมง่ายๆด้วยตนเอง
- เตือน! ม.33, 39 อย่าลืม!ใช้สิทธิประกันสังคมตรวจสุขภาพ-ทำฟัน
- สิทธิประกันสังคมตรวจสุขภาพประจำปีฟรีกี่รายการอะไรบ้าง?
ว่าด้วยเรื่องของประกันสังคม
แม้ว่าคนไทยส่วนใหญ่จะส่งเงินสมทบให้กับสำนักงานประกันสังคมเป็นประจำทุกเดือน แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่อาจไม่ทราบว่าตนเองเป็นผู้ประกันตนตามมาตราใด หรือยังไม่เข้าใจอย่างชัดเจนว่าสิทธิประโยชน์ที่พึงได้รับจากการส่งเงินสมทบเหล่านั้นคืออะไรบ้าง
ความไม่รู้เหล่านี้อาจทำให้หลายคนมองข้ามสิทธิที่ตนเองมีอยู่ ทั้งที่ในความเป็นจริงระบบประกันสังคมได้จัดสรรสิทธิประโยชน์ไว้รองรับผู้ประกันตนในหลากหลายสถานการณ์ เพื่อให้ได้รับการดูแลที่เหมาะสมในยามจำเป็น ไม่ว่าจะเป็นการเจ็บป่วย การว่างงาน หรือการเข้าสู่วัยเกษียณ
เพื่อให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น บทความนี้จะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับความแตกต่างของประกันสังคม มาตรา 33 มาตรา 39 และมาตรา40 ซึ่งแต่ละมาตราล้วนมีเงื่อนไขในการส่งเงินสมทบและสิทธิประโยชน์ที่ได้รับแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าคุณจะเป็นลูกจ้าง พนักงานที่ลาออกแล้ว หรือแรงงานอิสระ การรู้ว่าตนอยู่ในมาตราไหน และได้รับสิทธิอะไรบ้าง นับเป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยให้คุณสามารถวางแผนชีวิตและใช้สิทธิประโยชน์ที่มีอยู่ได้อย่างเต็มที่
ความแตกต่างของมาตรา 33, 39 และ40
หลายคนอาจคุ้นเคยกับชื่อของ “ประกันสังคม” แต่ทราบหรือไม่ว่า ระบบประกันสังคมในประเทศไทยนั้น แบ่งออกเป็น 3 มาตราหลัก ได้แก่ มาตรา 33, มาตรา 39 และมาตรา 40 ซึ่งแต่ละมาตราถูกออกแบบมาให้เหมาะสมกับลักษณะการทำงานและสถานะของผู้ประกันตนที่แตกต่างกัน ความแตกต่างเหล่านี้ครอบคลุมทั้ง รูปแบบการบังคับใช้ การจ่ายเงินสมท ความคุ้มครองที่ได้รับ และช่วงอายุของผู้สมัคร ซึ่งล้วนเป็นข้อมูลสำคัญที่ควรทำความเข้าใจให้ชัดเจน บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจรายละเอียดของแต่ละมาตรา เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนว่า สิทธิประโยชน์ที่คุณควรได้รับนั้นมีอะไรบ้าง และมาตราใดที่สอดคล้องกับสถานภาพของคุณมากที่สุด
ผู้ประกันตนภาคบังคับ (มาตรา 33)
มาตรา 33 ถือเป็นรูปแบบของการประกันตนภาคบังคับภายใต้พระราชบัญญัติประกันสังคม ซึ่งกำหนดให้ใช้กับลูกจ้างในสถานประกอบการภาคเอกชนที่มีการจดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และมีการว่าจ้างพนักงานตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป โดยนายจ้างมีหน้าที่ดำเนินการขึ้นทะเบียนให้กับลูกจ้างที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปี แต่ไม่เกิน 60 ปีบริบูรณ์ โดยต้องส่งเงินสมทบเข้ากองทุน คิดเป็นสัดส่วนดังนี้ ลูกจ้าง 5% + นายจ้าง 5% + รัฐบาล 2.75%
ทั้งนี้ สำนักงานประกันสังคมได้กำหนดฐานเงินเดือนขั้นต่ำสำหรับการเข้าระบบประกันสังคมมาตรา 33 ไว้ที่ 1,650 บาท/เดือน หากได้รับค่าจ้างต่ำกว่านี้จะไม่อยู่ในเกณฑ์ที่ต้องส่งเงินสมทบ ส่วนเพดานสูงสุดของฐานค่าจ้างในปัจจุบันอยู่ที่ 15,000 บาท ซึ่งคิดเป็นเงินสมทบสูงสุดที่ 750 บาท/เดือน ในด้านของสิทธิประโยชน์ ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 จะได้รับความคุ้มครองครอบคลุมทั้งหมด 7 กรณีสำคัญ ได้แก่:
- ค่ารักษาพยาบาลกรณีเจ็บป่วย
- เงินทดแทนกรณีทุพพลภาพ
- เงินชดเชยกรณีเสียชีวิต
- ค่าคลอดบุตร
- เงินสงเคราะห์บุตร
- เงินบำเหน็จหรือบำนาญชราภาพ
- เงินทดแทนกรณีว่างงาน
ผู้ประกันตนภาคสมัครใจ (มาตรา 39)
ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 คือ บุคคลที่เคยทำงานอยู่ในบริษัทเอกชนในมาตรา 33 มาก่อนแล้วได้ทำการลาออก แต่ตนยังคงต้องการรักษาสิทธิประกันสังคมไว้ จึงสมัครเข้าใช้สิทธิประกันสังคมในมาตรา 39 แทน
การเข้าร่วมในมาตรานี้มีเงื่อนไขสำคัญคือ ผู้สมัครต้องเคยส่งเงินสมทบในมาตรา 33 มาแล้วอย่างน้อย 12 เดือน และต้องลาออกจากงานไม่เกิน 6 เดือน นับจากวันที่ยุติสัญญาจ้าง ทั้งยังต้องไม่อยู่ในสถานะทุพพลภาพที่ได้รับเงินชดเชยจากกองทุนประกันสังคม
สำหรับการส่งเงินสมทบ ผู้ประกันตนจะชำระในอัตราคงที่ 432 บาท/เดือน โดยภาครัฐจะช่วยสมทบเพิ่มเติมอีก 120 บาท/เดือน ในด้านของสิทธิประโยชน์ ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 จะได้รับความคุ้มครองครอบคลุมทั้งหมด 6 กรณีสำคัญ ได้แก่:
- ค่ารักษาพยาบาลกรณีเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุ
- เงินทดแทนกรณีทุพพลภาพ
- เงินชดเชยกรณีเสียชีวิต
- สิทธิประโยชน์กรณีคลอดบุตร
- เงินสงเคราะห์บุตร
- เงินบำเหน็จหรือบำนาญเมื่อเข้าสู่วัยชรา
หมายเหตุ: ผู้ประกันตนในมาตรานี้จะไม่ได้รับสิทธิในกรณีว่างงานเนื่องจากเมื่อพ้นจากการเป็นลูกจ้าง สิทธิประโยชน์ในส่วนดังกล่าวยังสามารถใช้ได้จากระบบของมาตรา 33 เดิม ที่เคยส่งเงินสมทบไว้ก่อนหน้า
ผู้ประกันตนภาคสมัครใจ (มาตรา 40)
ผู้ประกันตนตามมาตรา 40 จัดอยู่ในกลุ่มประกันสังคมรูปแบบเดียวกับมาตรา 39 ซึ่งเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าร่วมได้โดยไม่จำเป็นต้องเป็นลูกจ้างในระบบ ทั้งนี้เหมาะสำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระ เช่นพ่อค้าแม่ค้า แรงงานนอกระบบ หรือฟรีแลนซ์ที่ไม่มีนายจ้าง และไม่ได้อยู่ภายใต้ความคุ้มครองของมาตรา 33 หรือมาตรา 39
โดยเงื่อนไขของการสมัครเข้าร่วมมาตรา 40 ผู้สมัครจะต้องมีอายุระหว่าง 15-65 ปี และ ไม่ได้ประกอบอาชีพรับราชการหรือเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ เนื่องจากกลุ่มอาชีพดังกล่าว ได้รับสิทธิสวัสดิการจากภาครัฐในรูปแบบอื่นอยู่แล้ว สิทธิประโยชน์ที่ผู้ประกันตน มาตรา 40 สามารถแบ่งตามเงินสมทบที่ผู้ประกันตนจ่ายทุกเดือน โดยรายละเอียดมีดังนี้:
1. ส่งเงินสมทบ 70 บาท/เดือน ให้ความคุ้มครองใน 3 กรณี ได้แก่:
- เจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุ: รับเงินชดเชยสูงสุด 300 บาท/วัน (ไม่เกิน 30 วัน/ปี)
- ทุพพลภาพ: รับเงินช่วยเหลือเดือนละ 500-1,000 บาท ไม่เกิน 15 ปี
- เสียชีวิต: รับค่าทำศพ 25,000 บาท หากส่งเงินสมทบครบ 60 เดือน จะได้รับเพิ่มอีก 8,000 บาท
2. ส่งเงินสมทบ 100 บาท/เดือน ให้ความคุ้มครองใน 4 กรณี ได้แก่:
- เจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุ: รับเงินชดเชยสูงสุด 300 บาท/วัน (ไม่เกิน 30 วัน/ปี)
- ทุพพลภาพ: รับเงินช่วยเหลือเดือนละ 500-1,000 บาท ไม่เกิน 15 ปี
- ชราภาพ: รับบำเหน็จชราภาพ 50 บาท/เดือน (ออมเพิ่มได้ 1,000 บาท/เดือน)
- เสียชีวิต: รับค่าทำศพ 25,000 บาท หากส่งครบ 60 เดือน จะได้รับเพิ่มอีก 8,000 บาท
3. ส่งเงินสมทบ 300 บาท/เดือน ให้ความคุ้มครองใน 5 กรณี ได้แก่:
- เจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุ: รับเงินชดเชยสูงสุด 300 บาท/วัน (ไม่เกิน 90 วัน/ปี)
- ทุพพลภาพ: รับเงินช่วยเหลือเดือนละ 500-1,000 บาท(ตลอดชีวิต)
- สงเคราะห์บุตร: ได้รับเงินอุดหนุน 200 บาท/คน/เดือน สูงสุด 2 คน
- ชราภาพ: รับบำเหน็จชราภาพ 150 บาท/เดือน กรณีจ่ายเงินสมทบครบ 180 เดือน รับเงินเพิ่ม 10,000 บาท (ออมเพิ่มได้ 1,000บาท/เดือน)
- เสียชีวิต: รับค่าทำศพ 50,000 บาท
สรุป ประกันสังคมมาตรา 33, 39 และ40 มีข้อแตกต่างกันอย่างไรบ้าง?
โดยสรุปแล้ว ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างประกันสังคมมาตรา 33, 39 และ40 ขึ้นอยู่ที่ สิทธิประโยชน์ ที่ผู้ประกันตนจะได้รับ รวมถึงคุณสมบัติของผู้สมัครและรูปแบบการส่งเงินสมทบที่แตกต่างกันไป โดยมาตรา 33 เหมาะสำหรับลูกจ้างในสถานประกอบการเอกชน ผู้ประกันตนจะได้รับสิทธิประโยชน์ครบทั้ง 7 กรณี, มาตรา 39 เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ลาออกจากงานแต่ต้องการคงสิทธิประกันสังคมไว้ สิทธิประโยชน์จะคงไว้ 6 กรณี เหมือนมาตรา 33 แต่ไม่ครอบคลุมในกรณีว่างงาน และมาตรา 40 เปิดรับประชาชนทั่วไปที่ประกอบอาชีพอิสระหรืออยู่นอกระบบแรงงานประจำ โดยสามารถเลือกความคุ้มครองได้ 3 ทางเลือกตามจำนวนเงินสมทบที่ส่งไป ซึ่งสิทธิประโยชน์จะครอบคลุมตั้งแต่ 3 ถึง 5 กรณี ขึ้นอยู่กับแผนที่ผู้สมัครเลือก