การแจ้งสิทธิลดหย่อนภาษี จะช่วยให้คุณลดภาระค่าใช้จ่ายรายเดือนลงไปได้มาก บทความนี้ได้สรุปวิธีแจ้งสิทธิลดหย่อนภาษีกับ HR ไว้แล้ว ซึ่งจะมีวิธีอย่างไรนั้น มาดูกันเลย
อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
- รวมสิทธิลดหย่อนภาษี 2566
- เช็กด่วน! เงื่อนไข Easy E-Receipt ช้อปลดหย่อนภาษีต้นปี 2568
- รวมสรุปรายการลดหย่อนภาษี 2567 บุคคลธรรมดา
- Q&A ยื่นภาษีผิดแก้ไขได้ไหม? แก้ไขอย่างไร? ค่าปรับเท่าไร?
- วิธีช้อปลดหย่อนภาษี 2567 ด้วย Easy E-Receipt
การแจ้งลดหย่อนภาษีสำคัญยังไง?
เพราะการแจ้งลดหย่อนภาษีจะช่วยลดภาระภาษีที่ต้องจ่ายได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยเป็นสิทธิที่รัฐมอบให้ ซึ่งหากเราแจ้งลดหย่อนครบถ้วนก็จะทำให้เสียภาษีน้อยลงหรืออาจได้รับเงินคืน และยังสะท้อนถึงการวางแผนการเงินที่รอบคอบ ช่วยให้เรามีเงินเหลือเก็บ หรือไปใช้จ่ายอย่างอื่นได้มากขึ้นอีกด้วย ทั้งนี้ยังช่วยลดความยุ่งยากช่วงสิ้นปีที่ไม่ต้องรอขอคืนภาษีจำนวนมากในภายหลัง
แจ้งลดหย่อนภาษีกับ HR มีวิธีอย่างไร? ต้องทำอะไรบ้าง?
วิธีแจ้งลดหย่อนภาษีกับ HR ทำได้ไม่ยาก โดยทั่วไปจะทำในช่วงต้นปี ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่ายของพนักงาน ซึ่งการแจ้งลดหย่อนภาษีกับ HR มีวิธีการดังนี้
1. รวบรวมข้อมูลค่าลดหย่อนทั้งหมด
เป็นการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษี เพื่อนำไปแจ้งกับ HR หรือยื่นภาษีปลายปีให้ครบถ้วน ซึ่งครอบคลุมทั้งค่าลดหย่อนพื้นฐาน ค่าลดหย่อนจากการออมและลงทุน ค่าลดหย่อนจากการทำประกัน ค่าลดหย่อนเพื่อสังคม โดยการรวบรวมข้อมูลข้างต้นจึงหมายถึงการเช็กเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ให้ครบ เพื่อป้องกันการพลาดสิทธิและจ่ายภาษีเกินความจำเป็น
2. กรอกแบบฟอร์มแจ้งสิทธิลดหย่อนภาษีของบริษัท
เป็นขั้นตอนที่พนักงานต้องกรอกข้อมูลส่วนตัวและสิทธิค่าลดหย่อนต่าง ๆ ลงในเอกสารที่เกี่ยวข้อง (เช่น แบบ ภ.ง.ด.1 หรือฟอร์มออนไลน์ของบริษัท) เพื่อใช้ประกอบการคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่ายรายเดือน
3. เตรียมเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่
- สำเนาทะเบียนบ้าน, บัตรประชาชน
- ทะเบียนสมรส (ถ้ามีคู่สมรส)
- สูติบัตรบุตร, หนังสือรับรองการศึกษา (ถ้ามีบุตรเรียนต่อ)
- หนังสือรับรองการจ่ายเบี้ยประกันชีวิต, ประกันสุขภาพ
- หนังสือรับรองการจ่ายเงินกองทุน (เช่น กบข., กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, RMF, SSF)
- ใบเสร็จรับเงินบริจาค (ถ้ามี)
4. ตรวจสอบเอกสารให้ครบถ้วนแล้วนำส่ง HR ภายในเวลาที่กำหนด
เป็นการตรวจสอบว่าเราได้เตรียมหลักฐานประกอบการลดหย่อนภาษีครบทุกประเภทที่เกี่ยวข้อง จากนั้นจัดเรียงให้เรียบร้อย และส่งมอบให้ HR ตามกำหนดเวลาที่บริษัทแจ้ง เพื่อให้ HR มีเวลาเพียงพอในการตรวจสอบและบันทึกข้อมูลเข้าสู่ระบบเงินเดือน หากส่งช้าอาจทำให้สิทธิการลดหย่อนถูกเลื่อนไปหรือพลาดสิทธิประโยชน์บางส่วนได้
5. ตรวจสอบผลกับ HR / สลิปเงินเดือน
หลังจากที่ส่งแบบฟอร์มและเอกสารลดหย่อนให้ HR แล้ว พนักงานควรเช็กว่าข้อมูลถูกบันทึกเรียบร้อยหรือไม่ โดยสามารถสอบถาม HR โดยตรง หรือสังเกตจาก สลิปเงินเดือน ว่ามีการหักภาษีลดลงตามสิทธิที่แจ้งไว้หรือไม่ การตรวจสอบขั้นตอนนี้ช่วยยืนยันว่าเราได้รับสิทธิลดหย่อนครบถ้วน หากพบข้อผิดพลาด เช่น เอกสารตกหล่น หรือการกรอกข้อมูลไม่สมบูรณ์ จะได้รีบแก้ไขทันที ไม่ต้องรอไปแก้ทีเดียวตอนยื่นภาษีปลายปี
ตัวอย่างรายการลดหย่อนภาษีที่ควรแจ้งมีอะไรบ้าง?
ค่าลดหย่อนพื้นฐาน
- ค่าลดหย่อนส่วนตัว
- ค่าลดหย่อนคู่สมรส (กรณีไม่มีรายได้)
- ค่าลดหย่อนบุตร (บุตรชอบด้วยกฎหมาย/บุตรบุญธรรม)
ค่าลดหย่อนจากประกัน
- เบี้ยประกันชีวิต
- เบี้ยประกันสุขภาพตนเอง
- เบี้ยประกันสุขภาพบิดา-มารดา
ค่าลดหย่อนจากการออมและลงทุน
- เงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) / กบข.
- เงินสะสมเข้ากองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.)
- กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)
- กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF)
ค่าลดหย่อนเพื่อสังคม
- เงินบริจาคทั่วไป
- เงินบริจาคเพื่อการศึกษา กีฬา หรือโรงพยาบาลรัฐ
- เงินบริจาคพรรคการเมือง
สรุป สรุปครบวิธีแจ้งสิทธิลดหย่อนภาษีกับ HR เคล็ดลับเพิ่มเงินเดือน
การแจ้งสิทธิลดหย่อนภาษีกับ HR เป็นขั้นตอนสำคัญที่พนักงานไม่ควรมองข้าม เพราะช่วยให้การหักภาษี ณ ที่จ่ายรายเดือนถูกต้อง ลดภาระภาษีเกินความจำเป็น และอาจทำให้มีเงินเดือนเหลือใช้มากขึ้น เพียงแค่รวบรวมข้อมูลและเอกสารให้ครบ กรอกแบบฟอร์มของบริษัท ส่งให้ HR ภายในเวลาที่กำหนด และตรวจสอบผลกับสลิปเงินเดือน เท่านี้ก็มั่นใจได้ว่าจะไม่พลาดสิทธิประโยชน์ทางภาษีและยังถือเป็นการวางแผนการเงินที่ฉลาดอีกด้วย