ทำงานที่รัก VS ทำงานที่รวย คำถามยอดฮิตที่คนวัยทำงานทุกคนต้องเผชิญและควรไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน มาร่วมค้นหาคำตอบที่ใช่ ทั้งสำหรับชีวิตและหัวใจของคุณได้จากบทความนี้
อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
- จบที่เราเบาที่สุด จัดการความคิดให้ได้เพื่อชีวิตที่ง่ายขึ้น
- Positive Thinking พลังแห่งการคิดบวกที่เปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้น
- ทำงานหนักจนใจเริ่มไม่ไหว สัญญาณปัญหาสุขภาพจิตที่ควรระวัง
- ดึงพลังคืนทีม! วิธีรับมือภาวะหมดไฟหลังหยุดยาวสำหรับ HR
งานที่รัก VS งานที่รวย
“คุณเคยรู้สึกมั้ยว่า…ทำไมเราต้องเลือกระหว่างงานที่รัก กับ งานที่รวย?” ทำไมการทำในสิ่งที่เราชอบถึงมักมาพร้อมค่าตอบแทนที่ไม่มากนัก ในขณะที่งานที่มีเงินดี มั่นคง กลับแลกมาด้วยความเครียดและคำถามในใจว่า “นี่คือสิ่งที่เราอยากทำจริงๆ หรือเปล่า?” นี่คือความหนักใจของคนวัยทำงานจำนวนไม่น้อย ที่ยืนอยู่ตรงทางแยกระหว่าง “ความสุขในทุกเช้าที่ลืมตา” กับ “เงินเดือนปลายเดือนที่ทำให้ชีวิตดำเนินต่อไปได้”
บางคนเลือกเดินตามความฝัน แต่ต้องเผชิญกับความไม่มั่นคง บางคนเลือกความมั่นคง แต่รู้สึกว่าใจค่อย ๆ หายไปจากงานที่ทำในแต่ละวัน
ข้อดี VS ข้อเสียของงานทั้งสองแบบ
เรามาดูกันว่างานทั้งสองรูปแบบมี ข้อดี ข้อเสียแตกต่างกันอย่างไร เพื่อทำให้เราสามารถตัดสินใจเลือกงานได้ตรงความต้องการของตัวเราได้มากที่สุด
ข้อดีของงานที่รัก
- มีความสุขในงานที่ทำ มีแรงบันดาลใจต่อเนื่อง ไม่เบื่องานง่าย
- พัฒนาทักษะเฉพาะทางได้เร็ว เพราะรักในสิ่งที่ทำ
- มีโอกาสสร้างผลงานที่โดดเด่น เพราะมีความทุ่มเท
ข้อเสียของงานที่รัก
- รายได้เริ่มต้นมักต่ำ หรือไม่แน่นอน
- อาจต้องใช้เวลานานกว่าจะมั่นคง
- บางครั้ง Passion ไม่เพียงพอเมื่อเจอกับความกดดันเรื่องเงิน
ข้อดีของงานที่รวย
- มีรายได้มั่นคง ครอบคลุมค่าใช้จ่ายและการใช้ชีวิต
- วางแผนอนาคตในระยะยาวได้
- ได้รับการยอมรับจากสังคมง่ายในบางบริบท
ข้อเสียของงานที่รวย
- งานอาจมีความเครียดหรือกดดันสูง
- ขาดแรงบันดาลใจ หรือหมดไฟได้ง่าย
- แม้มีเงิน แต่ความสุขในระยะยาวอาจลดลง
ทำงานที่รัก vs ทำงานที่รวย ควรเลือกอะไรดี?
แน่นอนว่าในการเลือกงาน แต่ละคนก็มักมีเงื่อนไขและความต้องการที่ต่างกัน เมื่อเราทราบข้อดี ข้อเสีย ของงานทั้งสองแบบแล้ว เราควรทำความเข้าใจ และหันมามองว่าตัวเราว่า เรามีเป้าหมายยังไง แนวทางการใช้ชีวิตที่เราต้องการเป็นแบบไหน เพราะการเลือกงานที่ดีสำหรับตัวเรา ไม่ใช่แค่เรื่องเงินเดือนหรือความหลงใหลในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่มันคือการเลือกทางเดินชีวิตที่ “ตรงใจ” และ “ตรงจังหวะ” กับตัวเรามากที่สุด ลองหยุดคิด และตอบคำถาม 5 ข้อนี้…อาจช่วยให้การตัดสินใจของคุณชัดเจน และมั่นคงขึ้น
1. เราให้ความสำคัญกับอะไรในชีวิต
ความสุข ความฝัน รายได้สูง ความมั่นคง ครอบครัว หรือเวลาส่วนตัว สิ่งไหนคือ “เรื่องใหญ่” สำหรับเรา?
2. ไลฟ์สไตล์ของเราเป็นแบบไหน
ชอบใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย หรือเน้นออกไปเที่ยว หาประสบการณ์ใหม่ ๆ เพราะไลฟ์สไตล์จะบ่งบอกว่าเราควรเลือกการทำงานแบบไหน เพื่อให้รายรับและรายจ่ายสัมพันธ์กัน
3. สถานะการเงินของเราเป็นอย่างไร
มีภาระหนี้สินไหม? ต้องดูแลใครบ้าง? ค่าใช้จ่ายรายเดือนและเงินเก็บมีมากน้อยแค่ไหน?
4. เงินเดือนเฉลี่ยของงานแต่ละสายงานเป็นอย่างไร
ลองหาข้อมูลเงินเดือนของสายงานที่สนใจ ทั้งฝั่งงานที่รักและงานที่รวย บางครั้งทางเลือกที่ลงตัวก็อาจอยู่ตรงกลางระหว่างสองสิ่งนี้
5. แผนระยะยาวคืออะไร
ดูแลครอบครัว ซื้อบ้าน ไปเรียนต่อ สร้างครอบครัวของตัวเอง หรือวางแผนเกษียณเมื่อไหร่? เป้าหมายระยะยาวจะบอกว่าเราต้องใช้เงินในอนาคตมากน้อยแค่ไหน
สรุป ทำงานที่รัก vs ทำงานที่รวย ควรเลือกยังไงให้ตรงใจเราที่สุด?
เมื่อได้พิจารณาข้อดี - ข้อเสียของทั้งสองทาง และลองตอบคำถามทั้ง 5 ข้ออย่างจริงจังแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการนำข้อมูลทั้งหมดมาประมวลผลให้สอดคล้องกับชีวิตและเป้าหมายของตัวเราเอง
หากคุณให้ความสำคัญกับการได้ทำงานในสิ่งที่รัก ได้ใช้ความสามารถอย่างเต็มที่ และมีความสุขในทุกวันของการทำงาน งานที่รัก อาจคือคำตอบของคุณ ในขณะเดียวกัน หากสิ่งที่คุณต้องการคือความมั่นคงทางการเงิน การสร้างฐานะ หรือดูแลครอบครัวอย่างเต็มที่ งานที่มีรายได้ดีอาจตอบโจทย์ได้ดีกว่า โดยเฉพาะในยุคที่เรื่องเงินกลายเป็นปัจจัยหลักในการดำรงชีวิต
สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าเราจะเลือกทำงานที่รักหรือทำงานที่รวย สิ่งสำคัญที่สุดคือ การเลือกในแบบที่ตรงกับสิ่งที่เราต้องการจริง ๆ ไม่ใช่เลือกเพียงเพราะต้องการทำตามความคาดหวังของใคร หรือยึดตามมาตรฐานที่สังคมที่กำหนดว่าเราควรเป็นอย่างไร