การสร้างสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานอาจไม่ยากอย่างที่คิด บทความนี้จะพาไปดูวิธีสร้าง Work Life Balance ให้คุณมีชีวิตที่สมดุลทั้งเรื่องงานและชีวิตส่วนตัว
อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
- วิธีสร้าง Work-Life Balance ให้แก่พนักงาน ที่ HR ไม่ควรพลาด
- Check List เรามีความสุขในการทำงานไหม?
- 6 วิธี สร้างความสุขในการทำงาน
- Growth Mindset ในการทํางานเพื่อคนยุคใหม่ ทำงานอย่างมีความสุข
- จัดสรรเวลาด้วยตนเองให้เหมาะสม ด้วย Work-Life Integration
Work Life Balance เป็นมากกว่า “การแบ่งเวลา”
หากถามว่า Work Life Balance เป็นมากกว่า “การแบ่งเวลา” อย่างไร? คำตอบคือ Work Life Balance คือ การจัดสรรพลังงาน ความใส่ใจ และความสุขให้สมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว ไม่ใช่แค่ทำงานให้เสร็จ แต่รวมถึงการดูแลตัวเอง พักผ่อน และมีเวลาคุณภาพกับคนรอบข้าง เพราะหากเสียสมดุล อาจกระทบทั้งสุขภาพกาย ใจ และประสิทธิภาพในระยะยาว นอกจากนี้ Work Life Balance ยังมีความสำคัญดังนี้
- ความสำคัญในแง่ของการใช้ชีวิต: ลดความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพจิต มีเวลาพักผ่อนมากขึ้น และมีเวลาให้กับคนรักและครอบครัว
- ความสำคัญในแง่ของการทำงาน: สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน เพราะหากมีเวลาให้กับชีวิตส่วนตัวมากพอก็จะส่งผลให้เกิดความกระตือรือร้นในการทำงานมากขึ้น จึงลดความเสี่ยงของภาวะหมดไฟ (Burnout) และเพิ่มความพึงพอใจในการทำงาน
อย่างไรก็ตาม การสร้างสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดีทั้งในด้านสุขภาพ การทำงาน และความสัมพันธ์ ดังนั้นวิธีการสร้าง Work Life Balance ให้สมดุลจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม
วิธีการสร้าง Work-Life Balance ที่ทำได้จริงในชีวิตประจำวัน
การสร้าง Work-Life Balance ในชีวิตประจำวันไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ แค่ยืดหยุ่นและเหมาะกับจังหวะชีวิตของตัวเอง นี่คือวิธีที่คุณสามารถเริ่มต้นได้
1. กำหนดขอบเขตเวลาที่ชัดเจน (Set Boundaries)
การกำหนดขอบเขตเรื่องเวลาจะช่วยป้องกันงานไม่ให้รุกล้ำเวลาส่วนตัว สร้างวินัย และให้สมองได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ทำได้โดยการกำหนดเวลาเริ่มและเลิกงานที่ชัดเจน เลิกตอบอีเมลหรือไลน์งานนอกเวลางานกรณีที่ไม่เร่งด่วน
2. วางแผนและจัดลำดับความสำคัญ (Prioritize and Plan)
การวางแผนและจัดลำดับความสำคัญช่วยให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความรู้สึกเหนื่อยล้า และมีเวลาให้ชีวิตส่วนตัวมากขึ้น เพียงเริ่มจากทำสิ่งสำคัญก่อน แล้วค่อยตามด้วยงานรองลงมา จะช่วยให้เห็นภาพรวมของงานชัดเจน และจัดการแต่ละวันได้เป็นระบบมากขึ้น
3. เรียนรู้ที่จะปฏิเสธผู้อื่น (Learn to Say No)
การเลือกที่จะปฏิเสธเป็นการป้องกันไม่ให้ตัวเองรับภาระงานมากเกินไปจนกระทบกับสุขภาพกายและจิตใจ ทำได้โดยการฝึกปฏิเสธงานที่เกินขีดความสามารถหรือนอกเหนือจากหน้าที่อย่างสุภาพและมีเหตุผล
4. ให้เวลากับการพักผ่อนอย่างแท้จริง (Practice Real Rest)
การพักผ่อนอย่างแท้จริงช่วยเติมพลังงาน ทำให้กลับมาทำงานได้อย่างสดชื่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการหากิจกรรมที่คุณชอบทำเพื่อผ่อนคลาย เช่น อ่านหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลง ออกกำลังกาย หรือใช้เวลากับคนที่คุณรักแบบไม่อยู่หน้าจอ
5. ประเมินและปรับเปลี่ยน (Evaluate and Adjust)
Work-Life Balance ไม่ใช่สิ่งที่ตายตัว แต่เป็นเรื่องที่ต้องปรับให้เหมาะกับแต่ละช่วงชีวิต เราสามารถประเมินได้เป็นรายสัปดาห์หรือรายเดือน ว่าใช้เวลาไปกับอะไรบ้าง และควรปรับตรงไหนให้ชีวิตและการทำงานสมดุลมากขึ้น
สรุป วิธีสร้าง Work Life Balance เพื่อชีวิตและการทำงานที่สมดุล
Work Life Balance ไม่ใช่แค่การแบ่งเวลา แต่คือการบริหารพลังงานและความสุขให้สมดุล ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพ ชีวิต ความสัมพันธ์ และประสิทธิภาพในการทำงานในทุกมิติ โดยวิธีการสร้าง Work Life Balance ที่ทำได้จริงในชีวิตประจำวัน ประกอบไปด้วย กำหนดขอบเขตเวลาที่ชัดเจน วางแผนและจัดลำดับความสำคัญ ให้เวลากับการพักผ่อน เรียนรู้ที่จะปฏิเสธผู้อื่น และประเมินและปรับเปลี่ยน
